ตั้งกระทู้ ตอบ
กลับไปยังรายการ
  • 6481เข้าชม
  • 0ตอบกลับ

มูสิกชาดก ว่าด้วยผู้เอาธรรมบังหน้า [คัดลอกลิงค์]

ถอยกลับ ถัดไป
ออฟไลน์ kung

UIDผู้ใช้ลำดับที่ 52

เพศ : ไม่ระบุเพศ

 โพสต์ : 30

 สำคัญ : 0

 เงิน : 30 (บาท)
 ความดี : 29 (แต้ม)
 เครดิต : 30 (แต้ม) [เติม]
 จิตพิสัย: 1 (แต้ม)
เฉพาะโพสต์แรก จากล่างขึ้นบน เครื่องมือ ลิงก์โพสนี้   โพสต์เมื่อ: 2011-03-30 17:05:42: 2011-03-30 จำนวนผู้เข้าชม: 6481 ท่าน



พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.


ความย่อว่า ในครั้งนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลความ ที่ภิกษุนั้นเป็นผู้หลอกลวงให้ทรงทราบแล้ว พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในปางก่อนภิกษุ นี้ก็หลอกลวงเหมือนกัน ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :
[BLOCKQUOTE]

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดหนู อาศัยความเจริญเติบโต มีร่างกายอ้วนใหญ่คล้ายกับลูกสุกรอ่อน มีหนูหลายร้อยเป็นบริวาร ท่องเที่ยวอยู่ในป่า ครั้งนั้น มีหมาจิ้งจอกตัวหนึ่ง ท่องเที่ยวไปตามประสา เห็นฝูงหนูนั้นคิดว่า เราจักลวงกินหนูเหล่านี้ แล้วแหงนหน้าจ้องดวงอาทิตย์สูดดม ยืนด้วยเท้าข้างเดียว ในที่ไม่ไกลกับที่อาศัยของฝูงหนู
พระโพธิสัตว์เที่ยวหากินเห็นมันแล้วคิดว่า หมาจิ้งจอกนี้คงเป็นผู้มีศีล จึงเดินไปสู่สำนักของมัน พลางถามว่า ท่านผู้เจริญ ท่านชื่ออะไรเล่า ?


มันตอบว่า เราชื่อธรรมิกะ
ถามว่า ท่านไม่ยืนเหนือแผ่นดิน สี่เท้า ยืนด้วยเท้าข้างเดียวเพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เมื่อเราเหยียบ แผ่นดินสี่เท้าละก็ แผ่นดินไม่อาจทนอยู่ได้ เหตุนั้น เราต้องยืนเท้าเดียวเท่านั้น
ถามว่า ทำไมต้องยืนอ้าปากด้วยเล่า ?
ตอบว่า เราไม่กินอาหารอื่น กินลมอย่างเดียว
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ทำไมจึงต้องจ้องมองดวงอาทิตย์ด้วยเล่า ?
ตอบว่า เรานอบน้อม พระอาทิตย์
พระโพธิสัตว์ฟังคำของมันแล้วก็มั่นใจว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนี้คงมีศีลเป็นแน่ แต่นั้นก็ไปสู่ที่บำรุงของมันกับฝูงหนู ทั้งเวลาเย็น เวลาเช้า ครั้นในเวลาที่หนูผู้โพธิสัตว์นั้นทำการบำรุงแล้วพาฝูงกลับไป หมาจิ้งจอกก็จับเอาหนูตัวสุดท้าย กินเนื้อเสีย
ฝูงหนูบางตาลงโดยลำดับ ก็พูดกันว่า แต่เดิมพวกเราต้องเบียดเสียดกันอยู่ เดี๋ยวนี้ดูหลวม ที่อยู่อาศัยที่เคยเต็ม ก็ยังไม่เต็ม นี่มันเรื่องอะไรกัน ? แล้วพากันบอกเรื่องราวแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์คิดว่า เหตุไรเล่าหนอ พวกหนูจึงเบาบางไป ตั้งข้อสงสัยในหมาจิ้งจอก ดำริว่า ต้องสอบสวนหมาจิ้งจอกนั้น ดังนั้นในเวลาเสร็จจากการปรนนิบัติหมาจิ้งจอกในวันหนึ่ง จึงให้พวกหนูบริวารออกหน้า ตนเองอยู่หลังเพื่อน หมาจิ้งจอกก็วิ่งไปสะกัดพระโพธิสัตว์ไว้ พระโพธิสัตว์เห็นมันกอดจับตน ก็หันกลับพูดว่า เจ้าสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ การบำเพ็ญพรตของเจ้านี้ มิใช่เป็นไปเพื่อความประพฤติดีปฏิบัติชอบ แต่เจ้าประพฤติแอบอ้าง เอาธรรมเป็นธงขึ้นไว้ เพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า
"ผู้ใดแล เทิดธรรมเป็นธงชัย ให้สัตว์
ทั้งหลายตายใจ ซ่อนตนประพฤติชั่ว ความ
ประพฤติของผู้นั้น ชื่อว่า เป็นความประพฤติ
ของแมว" ดังนี้.
พระยาหนูกล่าวพลางกระโดดขึ้นเกาะคอมันไว้ กัดที่ซอกคอ ใต้คาง ให้ถึงความสิ้นชีวิต ฝูงหนูกลับมากัดกินหมาจิ้งจอก เสียงดังมุ่มม่ำ ๆ แล้วพากันไป ได้ยินว่าหนูพวกที่มาก่อนก็ได้กินเนื้อ พวกที่มาทีหลังก็ไม่ได้ นับแต่นั้นมาพวกหนูก็หมดภัย ได้ความสุข.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า หมาจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงในครั้งนี้ ส่วนพญาหนู ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ มูสิกชาดก

ให้คะแนนโพสต์ตามความรู้สึกคุณ

สุดยอด

เศร้า

น่าตลก

แฮปปี้

โกรธ

เบื่อ

ผวา
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ถูกให้:
ตั้งกระทู้ ตอบ
กลับไปยังรายการ
กล่องตอบกลับด่วน
จำกัด255 ตัวอักษร
ขี้เกียจตอบหรือเปล่า ใช้ตรงนี้สิ!!
กรุณาใช้ข้อความที่สุภาพ คุณสามารถบันทึกฉบับร่างได้
 
ถอยกลับ ถัดไป