watkaeng |
14-04-2012 17:31 |
สนุกสนานกับก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นพุทธบูชา
ประวัติของการก่อเจดีย์ทรายมีเรื่องเล่ามาว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีพร้อมบริวาร ได้เห็นหาดทรายขาวบริสุทธิ์ก็เกิดจิตศรัทธาก่อทรายเป็นเจดีย์ ๘ หมื่น ๔ พันองค์ แล้วอุทิศเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา และสังฆบูชา เมื่อพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ทูลถามถึงอานิสงส์การก่อเจดีย์ทรายดังกล่าว พระพุทธเจ้าตรัสว่า การที่มีจิตเลื่อมใสศรัทธาก่อเจดีย์ทรายถึง ๘ หมื่น ๔ พันองค์หรือเพียงองค์เดียวก็ได้อานิสงส์มาก คือ จะไม่ตกนรกหลายร้อยชาติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะเพียบพร้อมไปด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ มีบริวารและเกียรติยศชื่อเสียง หากตายก็จะได้ขึ้นสวรรค์ พรั่งพร้อมด้วยสมบัติและมีนางฟ้าเป็นบริวาร ด้วยอานิสงส์ดังกล่าวจึงทำให้คนโบราณนิยมก่อเจดีย์ทรายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ ส่วนในอีกตำนานหนึ่งซึ่งอยู่ในคำภีร์ใบลานชื่อ " ธรรมอานิสงส์เจดีย์ทราย "ได้กล่าวไว้ว่า ในครั้งที่พระโพธิสัตว์เกิดเป็นชายเข็ญใจชื่อว่า "ติสสะ" มีอาชีพตัดฟืนขาย วันหนึ่งติสสะได้พบลำธารที่มีหาดทรายสะอาดงดงามนัก จึงได้ทำการก่อทรายเป็นรูปเจดีย์และเพื่อให้เจดีย์นั้นสวยงามจึงฉีกเสื้อผูกกับเรียวไม้แล้วปักไว้บนยอดกองทรายเป็นรูปธงสัญลักษณ์ แล้วตั้งสัตย์อธิษฐานขอให้ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เมื่อเขาเวียนว่ายในวัฏฏะสงสารได้บำเพ็ญบารมีเต็มที่แล้ว ก็ได้เกิดเป็นพระพุทธเจ้าชื่อสมณะโคดมองค์ปัจจุบัน ภาพของธงที่ทำจากเสื้อของติสสะ ทำให้ชาวล้านนานิยมนำตุงไปปักเจดีย์ทราย ซึ่งตุงที่พบเห็นมักเป็นตุงที่มีลักษณะเป็นพู่ระย้าที่เรียก "ตุงไส้หมู" หรือตุงที่มีรูปสัตว์นักษัตรที่เรียกว่า "ตุงตั๋วเปิ้ง" ตุงดังกล่าวมักแขวนติดกิ่งไม้ไผ่หรือก้านเขือง (เต่าร้าง) ในเช้าของวันพญาวันคือวันเถลิงศกชาวบ้านจะนำตุงไปปักที่เจดีย์ทราย พอถึงตอนสายจะมีการถวายองค์พระเจดีย์ทรายแด่พระสงฆ์ ซึ่งชาวบ้านจะมาร่วมพิธีกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยหวังอานิสงส์เป็นหลักซึ่งนอกเหนือจากคัมภีร์ที่กล่าวมา ยังมีคัมภีร์แสดงอานิสงส์โดยตรงที่ชื่อ "ธรรมอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย" อีกฉบับหนึ่ง โดยเนื้อหาจะกล่าวถึงผลบุญมากมาย เช่น จะได้เกิดในตระกูลอันประเสริฐ เลอเลิศด้วยรูปสมบัติ เรืองจรัสในชีวิต ไม่ตกติดในนรก ยกระดับไปเกิดบนสวรรค์ จนถึงขั้นได้เกิดเป็นพระอินทร์ บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทรายถวายเป็นทาน ก็มีอานิสงส์มาก ย่อมได้รับสุข ๓ ประการ สุดท้ายก็จะได้พบพระนิพพานฯ บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทรายถวาย ตายไปแล้วย่อมไปเกิดในตระกูลพราหมณ์ และตระกูลกษัตริย์ ประกอบด้วยทรัพย์สมบัติมาก ย่อมได้ไปเกิดในชมพูทวีป บุคคลทั้งหลายนั้นย่อมมีรูปอันงดงาม เมื่อไปเกิดในที่ใด ก็ย่อมเป็นที่รักใคร่ยินดีแก่คน และเทวดาทั้งหลาย ย่อมไม่ไปเกิดในที่ร้าย คือนรกเป็นต้น บุคคลใดได้ประดับช่อธง ฉัตรบูชาเจดีย์ทราย ก็จะได้ไปเกิดเป็นท้าวพญา ประกอบด้วยแก้วทั้ง ๗ ก็ด้วยการสักการบูชาเจดีย์ทราย บุคคลใดได้ก่อเจดีย์ทราย ย่อมมีข้าหญิงชายมาแวดล้อมเป็นบริวาร พ้นจากทุกข์ทุกประการ ได้อยู่ในปราสาทอันงาม มีจาตุรงคเสนามาก ก็ด้วยอานิสงส์ก่อเจดีย์ทราย บุคคลทั้งหลายทั้งชายหญิงย่อมมีวัวควาย ผ้าผ่อน ผ้าแพร เครื่องบริโภคต่าง ๆ ไปในที่ใดคนและเทวดาก็เคารพบูชา บุคคลทั้งหลายนั้นย่อมไปเกิดในสวรรค์ดาวดึงส์ เป็นจอมเทพได้ ๓๔ ครั้ง เป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ ๓๔ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิในทวีปทั้ง ๔ มีเมืองใหญ่เมืองน้อยเป็นบริวารอันประมาณไม่ได้ เสวยราชสมบัติมาก ก็ด้วยอานิสงส์ก่อเจดีย์ทรายถวายแท้แน่นอน
อีกตำนานหนึ่งที่น่าสนใจ.... นักบวชในกาลก่อน เมื่อชีวิตก้าว ขึ้นสู่จุดที่สูงส่งมีลูกศิษย์ ที่ให้ความ เคารพมากมาย เฉพาะที่ออก บวชตามก็มากถึง ๔๐,๐๐๐ คน ยังต้องนึกถึง และบูชาพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ดังเรื่องของดาบส นามว่า “ นารทะ ”
ย้อนไปในอดีตยาวนานนับแสนกัป ได้มีดาบสท่านหนึ่ง ถือเพศเป็นนักบวช สร้างอาศรมบท บำเพ็ญพรต อยู่ที่ภูเขา ลูกหนึ่งชื่อว่า เหมกะ ไม่ไกลจาก ภูเขาหิมวันต์ เป็นผู้มีตบะธรรม แก่กล้า ทรงอภิญญา สมาบัติ มีลูกศิษย์เป็นชฎิล คอยอุปัฏฐากบำรุง ให้ความเคารพ สักการบูชามากถึง ๔๐,๐๐๐ องค์
ตัวท่านเองมาคิดว่า มหาชนพากันมาบูชาเรา แต่เราไม่ได้บูชาสิ่งใด เป็นการไม่สมควรเลย ผู้ที่จะว่ากล่าว สั่งสอนก็ไม่มี เราเป็นคน ไม่มีอุปัชฌาย์ อาจารย์ เป็นคนอนาถา ไร้ที่พึ่งที่ระลึก จึงมานั่ง ใคร่ครวญดูว่า เราควรแสวงหา บุคคลที่เรา ควรเคารพบูชา ชีวิตจึงจะมีคุณค่า การอยู่ป่าก็ จะไม่เปล่า ประโยชน์ เนื่องจากเป็นผู้ทรง อภิญญา สามารถ ระลึกชาติได้ถึง 40 กัป จึงระลึกชาติ ย้อนหลังไปดูก็ได้พบ ผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ คือพระสัมมา สัมพุทธเจ้า เกิดความปีติเลื่อมใส ดีใจว่า เราได้พบ อาจารย์ผู้เป็นที่สักการบูชาแล้ว
ในที่ไม่ไกลจากอาศรม ของท่านมีแม่น้ำสายหนึ่ง ซึ่งมีชายหาดที่ราบเรียบ สวยงาม น่ารื่นรมย์ใจ เต็มไปด้วยทราย ที่ขาวสะอาด ท่านจึงไปที่ หาดทรายนั้น ตะล่อมเอาทราย มาก่อเป็นเจดีย์ทราย ขึ้น เพื่อเป็น เครื่องระลึก ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อก่อพระเจดีย์เสร็จแล้ว ก็ให้หุ้มปิด ด้วยแผ่นทองคำ กลายเป็น เจดีย์ทองที่สูงค่า แล้วก็นำดอก กระดึงทองมา ๓,๐๐๐ ดอกกระทำ การบูชาที่เจดีย์นั้น เกิดความอิ่มเอิบ เบิกบานใจ ได้ประณมมือไหว้ ทั้งในเวลาเช้า และเวลาเย็น โดยมีจิตเคารพ เลื่อมใส ในพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ประดุจว่ากระทำการบูชาต่อเบื้องพระพักตร์
คราวใดที่เกิดกิเลส นึกถึงกามารมณ์ ท่านก็จะมองไปที่พระเจดีย์นั้น นึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวสอนตนว่า “ ท่านควรระวังกิเลสไว้ ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ การปล่อยให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่สมควรแก่ท่านเลย ” เมื่อท่านนึกพระเจดีย์ทราย ก็เกิดความเคารพ ขึ้นมาพร้อมกัน กล่าวสอนตน อยู่อย่างนั้น ความนึกคิดที่น่ารังเกียจ ก็ระงับไป ความเลื่อมใสเข้ามาแทนที่ ท่านบูชาพระเจดีย์ มีพุทธานุสสติเป็น อารมณ์อยู่อย่างนั้นทุกค่ำเช้า จนตลอด
เมื่อละโลกแล้วได้ไป บังเกิดในพรหมโลก เสวยพรหมสมบัติ มีความสุขอยู่ใน ฌานสมาบัติ ตลอดกาลนาน เมื่อสิ้นอายุขัย ของพรหมแล้วก็ได้ เลื่อนลงมาเกิด ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นท้าว สักกะจอมเทพ อีกยาวนานถึง ๘๐ ครั้ง หมดบุญจาก สวรรค์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็ได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิถึง ๓๐๐ ครั้ง และได้เป็น พระราชาธรรมดา อีกนับครั้งไม่ถ้วน
เพราะผลแห่งการก่อพระเจดีย์ทราย และทำการบูชา ด้วยดอกกระดึงทองนั้น จะไปเกิดในที่ไหนก็มี ผิวกายละเอียด งดงามดังทอง ฝุ่นละอองไม่จับผิวกาย ภพชาติสุดท้าย ในสมัยพุทธกาล ได้มาเกิดใน ตระกูลพราหมณ์มหาศาล มีโภคสมบัติมาก ได้เห็นมารดา บิดานำสถูป ทองออก มาบูชาโดยมุ่งตรงต่อ พระบรมศาสดา ทุกวัน จึงนึกถึงเจดีย์ ทราย หุ้มทอง ในอดีตของตน
จึงออกบวชเป็นสามเณร อยู่กับพระสารีบุตรเถระ เนื่องจากเคยมี พุทธคุณเป็น อารมณ์อยู่แล้ว เมื่อเจริญภาวนา นั่งเพียงแค่ครั้งเดียว ก็บรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ ตั่งแต่อายุ ๗ ขวบ พระบรมศาสดา ทรงทราบ ถึงการ บรรลุคุณวิเศษ ของท่าน จึงทรงประทาน การอุปสมบท ให้เป็นพระภิกษุ แต่นั้นมา |
|