| PNUTBUTTER | 27-11-2016 13:51 |
คนที่จะไปเป็นเทพ...ย่อมดำเนินชีวิตแบบเทพ....ศาลาที่เรามาฟังพระสวดในงานศพเรียกว่า...ศาลาบำเพ็ญกุศล คือศาลาที่เข้ามาแล้วต้องฉลาด ต้องเข้าใจชีวิตและความเป็นไป แล้วเมื่อฉลาด มีปัญญาแล้วต้องตั้งใจทำความดี ....การบำเพ็ญกุศลเกี่ยวกับศพนั้นมีอยู่ ๒ ประการคือ.......๑.ผู้ที่ตายมีคุณธรรม หรือเป็นพระอริยบุคคล ท่านไม่ต้องการบุญจากเราแล้ว แต่เรายังต้องการบุญจากท่าน เมื่อเรามาในงานศพท่านก็อาศัยเป็นเหตุเพื่อทำบุญ ทำทาน รักษาศีลต่าง ๆ เช่น การวถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ หรือแม้กระทั่งในหลวง และพ่อแม่เรา ล้วนเป็นเหตุให้เราได้บุญทั้งนั้น ....๒.ผู้ตายเป็นทั่วๆ ไป ทำบุญมั่ง บาปมั่ง หรือบาปมากกว่าบุญ เมื่อเรารู้จัก คุ้ยเคย เราก็ต้องไปเพื่อสร้างบุญอุทิศไปให้เขา เพราะเขาไม่ค่อยมีบุญ ต้องการบุญอย่างมาก ดังนั้นโบราณจารย์จึงเอาพระอภิธรรมมาสวดสาธยายให้ฟังกัน แล้วยังต้องมีการไหว้พระ สมาทานศีล ถวายไทยธรรมมากมาย เพื่อคนที่มีชีวิตอยู่จะได้ทำบุญแล้วอุทิศไปให้ แต่ถ้าคนมางานศพไม่เข้าใจ มากินข้าวต้ม มาคุยกัน ตั้งวงเหล้า นั่งเล่นโทรศัพท์ไม่สนใจพิธีกรรมแล้วถือว่า..."ไม่แคร์คนตายเลย" ......คนเรานั้น ถ้าตายไปแล้วไปสู่พระนิพพาน เขาก็ดำเนินชีวิตอย่างผู้หมดกิเลสในชาตินี้ก่อนแล้วเหมือนพระนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย บางคนตายไปเพื่อไปเกิดเป็นเทพ ชาตินี้เขาก็ดำเนินชีวิตแบบเทพ ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมไม่เคยอ่ิมในบุญเลย ตายไปเขาก็ไปเป็นเทพ เราจะรู้ว่าคนที่ตายไปจะไปเป็นอะไร ก็ดูการเป็นอยู่เดียวนี้ว่า เป็นอย่างไร และก็เช่นกันถ้าตายไปเพื่อไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ดูชีวิตในชาติปัจจุบันว่า...เขาก็ชิมลองหรือทำชีวิตแบบนั้น ๆอยู่หรือไม่ วันนี้กับพรุ่งนี้ ชาตินี้กับชาติหน้ากับคนเราแล้วก็ไม่ต่างกัน วันนี้เป็นอย่างไร พรุ่งนี้ก็เป็นอย่างนั้นชาตินี้เป็นอย่างไร ชาติหน้าก็ไม่ต่างกัน แล้วโชคหรือความฟรุ๊คก็ไม่มีอีกด้วย...ในวัฎฎสงสารนี้ .........ปรารภในงานบำเพ็ญกุศลคุณพ่อประสิทธิ ตันสุน ที่วัดสองพี่น้อง [attachment=12274] [attachment=12276] |
|
