ตั้งกระทู้ ตอบ
กลับไปยังรายการ
  • 4571เข้าชม
  • 0ตอบกลับ

ความคิดอันตราย 3 ประเภท [คัดลอกลิงค์]

ถอยกลับ ถัดไป
ออฟไลน์ pook

UIDผู้ใช้ลำดับที่ 129

เพศ : ไม่ระบุเพศ

 โพสต์ : 5

 สำคัญ : 0

 เงิน : 4 (บาท)
 ความดี : 4 (แต้ม)
 เครดิต : 4 (แต้ม) [เติม]
 จิตพิสัย: 0 (แต้ม)
เหรียญ

ดูเหรียญทั้งหมด

เฉพาะโพสต์แรก ลำดับปกติ เครื่องมือ ลิงก์โพสนี้   โพสต์เมื่อ: 2012-08-31 12:35:50: 2012-08-31 จำนวนผู้เข้าชม: 4571 ท่าน
ความคิดอันตราย 3 ประเภท : จาก หนังสือ โยนิโสมนสิการ (วศิน อินทสระ)




ประการที่ 1 ไม่มองดูไม่พูดถึงความผิดของตนเองคอยมองดูคอยพูดถึงแต่ความผิดพลาดของผู้อื่น
          อันนี้ความคิดอันตรายประการที่ 1 ในครอบครัวที่มีปัญหาพ่อแม่ลูก ก็มักจะเป็นอย่างนี้นะครับ ที่ทำงานหรือที่อะไรก็เหมือนกันถ้าเผื่อว่ามีแต่คนที่ไม่มองดูความผิดของตนเองบ้าง คอยมองดูแต่ความผิดพลาดของคนอื่นก็จะมีปัญหามีอันตราย ในครอบครัวท่านบอกว่า ก่อนแต่งงานควรลืมตาทั้งสองข้างแต่ว่าแต่งงานแล้วก็ปิดเสียข้างหนึ่งเพื่อไม่ต้องมองดูข้อผิดพลาดบกพร่องของอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไปไม่บอดทำเป็นเหมือนบอด ไม่หนวกทำเป็นเหมือนหนวก ก็เชื่อว่าคนเขาจับลิงมาได้ตัวหนึ่งแล้วก็มาอยู่กับคนเสียนานหลายเดือน พอกลับไปป่าไอ้พวกลิงด้วยกันก็มาล้อมถามว่ามนุษย์เขาพูดอะไรกันบ้าง ลิงตัวที่มาอยู่กับมนุษย์ก็เล่าให้ฟังไอ้ลิงพวกนั้นก็อุดหู บอกโอ๊ย! ฟังไม่ได้เลย เขาพูดกันอย่างนั้นเชียวหรือก็เป็นนิทานขำขัน
          ผมขยายความตรงนี้ว่าเพื่อจะไม่มองดูข้อผิดพลาดของอีกฝ่ายหนึ่งมากเกินไปนอกจากนี้แล้วเพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขความสุภาพอ่อนโยนและเห็นใจพ่อแม่ไม่เข้าใจลูก ลูกไม่เข้าใจพ่อแม่คือว่าถ้าทุกคนถือเอาตนเป็นจุดศูนย์กลางของความถูกต้องก็จะต้องรุกรานเสรีภาพของคนอื่นๆ และผู้อื่นก็จะรุกรานเสรีภาพของผู้อื่นต่อๆไปต่างคนต่างก็เป็นนรกของกันและกันอย่างที่ ฌอง พอล ซาร์ตนักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า นรกคือผู้อื่นนี่ในบทละครเรื่อง No exit ของ ฌอง พอล ซาร์ต

ประการที่ 2 ทำผิดจนเป็นนิสัย
เข้าใจผิดคิดว่าตัวเขาเป็นคนเลว  เพราะว่าโชคไม่ดีถ้าเป็นคนเลวเป็นคนตกต่ำก็เพราะโชคไม่ดี เพราะชะตาชีวิตกำหนดมาให้โชคชะตาเป็นอย่างนั้น   จึงโกรธแล้วก็ไม่ยอมยกตนเองขึ้นจากหล่มของหายนะ
          อันนี้ก็คือไม่ยกตนเองขึ้นมาจากความบกพร่องผิดพลาดนี่ก็ทำผิดจนเป็นนิสัย เพราะทำผิดแล้วก็มัวคิดว่า ที่ผิดเพราะโชคไม่ดีแล้วก็ไปโทษชะตาชีวิตมาถึงตรงนี้ผมขอตั้งปัญหาเอาไว้ให้ท่านผู้ฟังลองโทรฯเข้ามาวิจารณ์ดูนะครับว่าสิ่งที่เราเรียกว่า ชะตาชีวิตของคนเรามีหรือไม่มีถ้ามีอะไรเป็นตัวกำหนดแล้วก็แก้ไขได้หรือไม่ ก็ขอตั้งเอาไว้เป็นปริศนานะครับ

ประการที่ 3 ทำร้ายตนเอง อ่อนแอ วิ่งหนีปัญหาไม่เคยคิดแก้ปัญหา
คนที่มีความรู้แล้วก็อาจมีความสามารถแต่ไม่ใช้ความรู้ความสามารถให้สมกับที่มี ก็จะไม่ได้รับการยกย่องแล้วก็อาจอยู่ไม่ได้ในโลก ในโลกที่สับสนของเรา อาจอยู่ไม่ได้
         ผมขอเล่าเรื่องประกอบนะครับ มีหญิงคนหนึ่งมีลูกปากแหว่งมีลูกออกมาปากแหว่งเป็นทุกข์จนคลั่งแล้วก็ฆ่าลูกตาย แล้วก็ฆ่าตัวตายตามไปด้วย ทั้งๆที่หมอก็ยืนยันว่าปากแหว่งอย่างนี้  ความรู้ความสามารถทางศัลยแพทย์สมัยใหม่ พอจะทำให้หายได้เป็นปกติได้แต่ก็ไม่ฟังเสียงใคร ผู้หญิงคนนี้เป็นทุกข์อย่างหนัก เสียใจ อับอายในที่สุดก็ทำร้ายตัวเองหนีปัญหา ความจริงปัญหาอย่างนี้แก้ไม่ยากแค่ว่าอดทนเสียหน่อย ใจเย็นเสียหน่อย ยังมีปัญหาอย่างอื่นอีกมากมายที่สามารถจะแก้ได้ด้วยความอดทนมีปัญหาแล้วคิดสู้ปัญหาเพราะว่าตามความเป็นจริงแล้วอุปสรรคจะมีมากแค่ไหนก็ยังน้อยกว่าที่เราเก็บมาคิดกังวลใจ
          ผมขอซ้ำตรงนี้อีกทีนะครับ อุปสรรคจะมีมากแค่ไหนก็ยังน้อยกว่าที่เราเก็บมาคิดเป็นกังวลใจพระพุทธเจ้าตรัสว่า คนสองคนทำความชั่วเหมือนกันได้รับผลไม่เท่ากันคนหนึ่งได้รับมากอีกคนหนึ่งได้รับน้อยเพราะคน 2 คนต่างกันถือว่าคนที่ได้รับผลมากเพราะว่าเป็นผู้ที่ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีลไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณธรรมน้อย มีจิตใจคับแคบมีปกติอยู่เป็นทุกข์แม้ด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย เรียกว่า อปฺปทุกฺขวิหารีมีปกติอยู่เป็นทุกข์แม้ด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย อะไรนิดอะไรหน่อยก็เก็บมาเป็นทุกข์ ทุกข์ร้อนใจ เผาตัวเอง ทำร้ายตัวเองส่วนคนที่ทำชั่วเหมือนกันแต่ได้รับผลชั่วน้อยก็เพราะว่า เป็นคนที่ได้รับการอบรมกายอบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญา เป็นคนมีคุณธรรมมาก มีจิตใจกว้างขวาง มีใจใหญ่มีปกติอยู่ด้วยธรรม มีเมตตาหาประมาณมิได้ เรียกว่า อปฺปมาณวิหารีอยู่แบบโดยคุณธรรม ที่หาประมาณมิได้ อยู่ด้วยธรรม มีเมตตา เป็นต้น หาประมาณมิได้  คนอย่างนี้ถ้าทำดีเท่ากับคนแบบข้างต้นก็จะได้ดีมากกว่า เพราะว่ามีเครื่องรองรับดีมากกว่า
          ความลับอย่างหนึ่งของการดำเนินชีวิตที่ดีคือความฉลาดและความกล้าหาญที่จะเอาชนะความทุกข์ ความผิดพลาดมีบางครั้งที่เราต้องทิ้งปัญหาไว้ก่อน  แล้วก็หันไปทำสาธารณประโยชน์ปล่อยให้ปัญหาที่เหลืออยู่คลี่คลายไปเอง แล้วก็หัวเราะเยาะตัวเองเสียบ้างสมน้ำหน้าตัวเองเสียบ้าง พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆของเราเองบางคราวจำเป็นต้องนึกว่าเราเป็นเพียงตัวตลกตัวหนึ่งของโลก
          ความทุกข์หรือปัญหาบางอย่าง มันคล้ายๆหัวสิวครับถ้าเผื่อเราไปเล่นมันมากเราไปบีบมัน คลึงมัน มันยิ่งช้ำใหญ่ แล้วก็ยิ่งเป็นแผลเป็นแผลเป็น ถ้าเราปล่อยทำไม่รู้ไม่ชี้ ให้มันแตกเอง แล้วมันหายเองแล้วหน้าก็ไม่เป็นแผลด้วย คล้ายๆปัญหาบางอย่างความทุกข์บางอย่างมันเหมือนหัวสิวนะครับ ก็ให้ปฏิบัติกับความทุกข์บางอย่างปัญหาบางอย่างเหมือนหัวสิว คือปล่อยมันไว้อย่างนั้น ให้มันแตกไปเอง คลี่คลายไปเองหน้าก็ไม่เป็นแผลเป็น ก็ไม่เป็นไร
          ที่สำคัญประการหนึ่งนะครับ คนจะสนใจอย่างมากคือว่าเป็นความลับของการดำเนินชีวิตที่ดีก็คือ มีความฉลาดแล้วก็มีความกล้าหาญที่จะเอาชนะความทุกข์ ความผิดพลาด อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเลย ว่าเป็น theart of living เลย เป็นศิลปะในการดำเนินชีวิตคือมีความฉลาดและมีความกล้าหาญที่จะเอาชนะความทุกข์และความผิดพลาด
          รางวัลที่ประเสริฐรางวัลหนึ่งในชีวิตของคนเรา ถ้าทำได้ ก็คือว่าฝึกนิสัยให้เป็นคนหัดคิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง อันนี้คือโยนิโสมนสิการที่พระพุทธเจ้าท่านทรงเรียกว่าโยนิโสมนสิการมันเป็นรางวัลที่ประเสริฐอย่างหนึ่งในชีวิตถ้าเราฝึกนิสัยให้เป็นคนหัดคิดอะไรเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลึกซึ้ง ขุดลงไปหรือสาวลงไปจนถึงต้นตอของมันทุกๆเรื่องที่เราสนใจ อันนี้จะเป็นรางวัลที่ดีของชีวิตไม่ผิวเผินแต่เป็นคนรู้จริง เข้าใจจริง ทำนองนี้นะครับ เรียกว่าโยนิโสมนสิการ

         กฎแห่งกรรมมียืดหยุ่นไหม ก็มีเหมือนกัน บางครั้งก็มีเหมือนกันกฎแห่งกรรมไม่ใช่กฎที่ตายตัวว่า คนทำชั่วเหมือนกัน ทำความชั่วอย่างเดียวกันแต่ว่าได้รับผลไม่เหมือนกัน อยู่ที่เงื่อนไขอีกเหมือนกัน คนทำความดีเหมือนกันความดีอย่างเดียวกันจะได้รับผลไม่เท่ากันอยู่ที่เงื่อนไขต่างๆมากมายที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง ในการทำความดีหรือทำความชั่ว
          อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคล 2 คนคนหนึ่งทำความชั่วอย่างนี้แล้วตกนรก อีกคนหนึ่งทำแล้วไม่ตกนรก อยู่ที่เงื่อนไขมันมีเงื่อนไขเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะในชีวิตคน ทีนี้ผู้ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจก็เลยอุปมาให้ฟังว่า เหมือนกับเรือ 2 ลำ ลอยลำอยู่เคียงกันอยู่ เทียบกันลำหนึ่ง ก็เอาก้อนหิน 10 กิโลใส่ลงไปในเรือลำหนึ่งจม พอก้อนหินเพิ่มลงไป 10 กิโลจมทันทีเลย อีกลำหนึ่ง ยังลอยลำได้สบาย เพิ่มอีกเป็น 20 กิโลก็ยังไม่จม เพิ่มเป็น 30 กิโลก็ยังไม่จม ถามว่าเพราะอะไร
          ลำแรกมันปริ่มแล้ว พร้อมที่จะจมพอเพิ่มน้ำหนักเข้าไปอีกหน่อยเดียวก็จมทันที แต่อีกลำมันลอยลำสบายๆไม่ได้บรรทุกน้ำหนักอะไรเลย อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า คนทำความชั่วเหมือนกันคนหนึ่งไปนรก คนหนึ่งไม่ไป คนที่ไปเพราะว่าไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมจิตไม่ได้อบรมปัญญา เรื่องนี้พูดแล้ว อีกคนหนึ่งเป็นคนอบรมกาย อบรมจิต อบรมปัญญามีชีวิตอยู่ดีตลอดก็โดยบังเอิญไปทำความชั่ว บางอย่างก็ไม่เป็นไรนี่คือเงื่อนไขในเรื่องกฎแห่งกรรม




ให้คะแนนโพสต์ตามความรู้สึกคุณ

สุดยอด

เศร้า

น่าตลก

แฮปปี้

โกรธ

เบื่อ

ผวา
ผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้ถูกให้:
ตั้งกระทู้ ตอบ
กลับไปยังรายการ
กล่องตอบกลับด่วน
จำกัด255 ตัวอักษร
ขี้เกียจตอบหรือเปล่า ใช้ตรงนี้สิ!!
กรุณาใช้ข้อความที่สุภาพ คุณสามารถบันทึกฉบับร่างได้
 
ถอยกลับ ถัดไป